ในยุคที่การลงทุนเข้าถึงง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส หลายคนมองหาหนทางสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ คำถามที่น่าสนใจและเกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ การใช้ “สินเชื่อส่วนบุคคล” เป็นแหล่งทุนเพื่อกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, ทองคำ หรือแม้กระทั่งบิตคอยน์ เป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงจริงหรือ? ก่อนจะตอบคำถามนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือทางการเงินแต่ละชนิดให้ถ่องแท้เสียก่อน
ธรรมชาติของสินเชื่อส่วนบุคคล
สินเชื่อส่วนบุคคลคือเงินกู้ยืมอเนกประสงค์ที่มาพร้อมความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน แต่ความสะดวกนี้ก็ต้องแลกมากับอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงกว่าสินเชื่อประเภทมีหลักประกันอย่างสินเชื่อบ้านหรือรถยนต์ โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยอาจเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 15% ถึง 25% ต่อปี ตัวเลขนี้คือ “ต้นทุนทางการเงิน” ที่เป็นภาระผูกพันคงที่ ผู้กู้มีหน้าที่ต้องชำระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามกำหนดเวลาอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าผลลัพธ์จากการนำเงินไปใช้จะเป็นอย่างไรก็ตาม
โลกของสินทรัพย์เสี่ยงสูง
เมื่อหันมามองฝั่งการลงทุน สินทรัพย์ทั้งสามประเภทล้วนมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงและความผันผวนมหาศาล
- หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี: มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็อ่อนไหวต่อสภาวะเศรษฐกิจโลก, นโยบายกำกับดูแล และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว
- ทองคำ: แม้ถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) แต่ราคาก็ยังคงผันผวนตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางและทิศทางของค่าเงินดอลลาร์
- บิตคอยน์: เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่เคยสร้างผลตอบแทนระดับปรากฏการณ์ แต่ก็มีชื่อเสียงด้านความผันผวนรุนแรง ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อ “ภาระหนี้” ปะทะ “ความไม่แน่นอน”
หัวใจของเรื่องนี้คือการเปรียบเทียบระหว่าง “ต้นทุนคงที่” ของดอกเบี้ยเงินกู้ กับ “ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน” จากการลงทุน ลองคิดตามดูง่ายๆ หากกู้เงินมาด้วยอัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปี พอร์ตการลงทุนที่สร้างขึ้นจากเงินก้อนนี้จำเป็นต้องทำผลตอบแทนให้ได้สูงกว่า 20% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อให้ “เท่าทุน” และจะต้องทำได้สูงกว่านั้นมาก จึงจะเรียกว่า “กำไร”
ในโลกความเป็นจริง การสร้างผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะต้นทุนดอกเบี้ยระดับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง แม้แต่สำหรับนักลงทุนมืออาชีพก็ตาม ตลาดการเงินเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และผลการดำเนินงานในอดีตก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ หากการลงทุนขาดทุนหรือไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ผู้ลงทุนไม่เพียงแต่จะสูญเสียเงินลงทุนส่วนนั้นไป แต่ภาระในการชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลพร้อมดอกเบี้ยยังคงอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ สิ่งนี้อาจนำไปสู่สภาวะ “หนี้ท่วมตัว” และส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพทางการเงินและประวัติเครดิตในระยะยาว
ก้าวแรกของการลงทุนควรมาจาก “เงินเย็น”
โดยสรุป การกู้ยืมเงินที่มีต้นทุนสูงอย่างสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยง “ไม่สมดุล” สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ เป็นการนำภาระหนี้ที่แน่นอนไปแลกกับผลตอบแทนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
รากฐานที่มั่นคงของการลงทุนควรมาจาก “เงินออม” หรือที่เรียกกันว่า “เงินเย็น” ซึ่งคือเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การเริ่มต้นด้วยการศึกษาหาความรู้, ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และใช้เงินออมของตัวเองในการลงทุน จะเป็นบันไดขั้นแรกที่มั่นคงและปลอดภัยกว่าบนเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง
สินเชื่อส่วนบุคคลนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อเสริมสภาพคล่องยามฉุกเฉิน หรือรวมหนี้เพื่อบริหารจัดการการเงิน แต่สำหรับการลงทุนในตลาดที่คาดเดายาก การใช้เงินของตัวเองยังคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเสมอ